หรือสุดท้ายหงส์แดงจะไร้แชมป์

ฤดูกาลที่ร้อนแรงของลิเวอร์พูลกำลังสั่นคลอนครั้งใหญ่ หลังจากที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถตั้งความหวังสู่การเป็นแชมป์ครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปีได้ เพราะพวกเขาผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากตอนเดือนธันวาคม 2018 มาได้อย่างสวยงาม เก็บชัยชนะรวดและยึดตำแหน่งจ่าฝูงได้ด้วยคะแนนที่ทิ้งห่างอันดับสองอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้อยู่ถึง 7 แต้ม แต่เหตุการณ์ณ์ตอนนี้กลับตาลปัตรเสียแล้ว

เค้าลางของความล้มเหลวที่เด็กหงส์ต้องยอมรับ

ช่วงที่เข้าสู่เดือนมกราคม นักเตะของลิเวอร์พูลมีเกมลงทำการแข่งขันน้อยกว่าคู่แข่งมาก เนื่องจากพวกเขาตกรอบในรายการฟุตบอลถ้วยทั้งสองรายการคือเอฟ เอ คัพและลีก คัพตั้งแต่ไก่โห่ มันน่าจะเป็นผลดีต่อทีมที่ไม่ต้องลงเล่นเกมมากเกินไป ผิดกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่จะต้องลงเล่นทุกถ้วยทุกรายการไม่มีหยุด

แต่แล้วปัญหาของลิเวอร์พูลก็เริ่มต้นขึ้นจากอาการบาดเจ็บของผู้เล่นแนวรับ แม้จะทดลองเอาดาวรุ่งมาลงสนาม ขยับผู้เล่นอย่างฟาบินโญ่และเจมส์ มิลเนอร์มาเล่นและทำผลงานบางเกมได้ดี แต่ทั้งสองคนก็ไม่ใช่ผู้เล่นกองหลังโดยเนื้อแท้ สิ่งที่เจอร์เก้น คล็อปป์ควรทำคือการอุดแนวรับด้วยผู้เล่นกองหลังอาชีพ ปรากฏว่าไม่มีผู้เล่นแนวรับชั้นดีสักรายที่เดินเข้ามาสู่รั้วแอนฟิลด์

มันคือความย่ามใจของเจอร์เก้น คล็อปป์และสโมสรแห่งลุ่มน้ำเมอร์ซี่ที่พลาดปล่อยให้ตลาดซื้อขายนักเตะปิดตัวโดยไม่ได้ใครมาเพิ่ม

ผลงานของลิเวอร์พูลสะดุดต่อเนื่องหลังแพ้ให้แมนเชสเตอร์ซิตี้ตั้งแต่เกมแรกหลังปีใหม่ หลังจากนั้น 6 เกมพวกเขาไปปล่อยให้แต้มหลุดมือจากนัดเสมอเลสเตอร์ เสมอเวสต์แฮม และเสมอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในนัดล่าสุด กลับกันที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง ทำแต้มไล่จี้จากที่ตามหลายแต้มจนกลับมาจี้ติดหลังเพียง 1 คะแนน

แนวรับป่วย แนวรุกเปลี่ยน ความคลาดเคลื่อนของลิเวอร์พูล

ตั้งแต่ต้นฤดูกาล ลิเวอร์พูลเดินหน้าทำผลงานได้เป็นอย่างดีด้วยการที่พวกเขาเสียประตูน้อยมาก นั่นสะท้อนให้เห็นว่าลิเวอร์พูลชุดนี้มีขุมกำลังแนวรับที่ดีเลิศเพียงใด สถิติเสียประตูน้อยสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร เจอร์เก้น คล็อปป์ควรจะให้ความสำคัญกับการคงความแข็งแกร่งในจุดนี้ไว้ให้มากที่สุด เขาไม่ควรคาดหวังให้ผู้เล่นหายเจ็บกลับมา แต่คล็อปป์ควรที่จะหาทางทำแนวรับอยู่ในสภาพสมบูรณ์ทันทีด้วยการซื้อผู้เล่นใหม่

                แนวรุกของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ออกสตาร์ทได้ไม่ร้อนแรงเท่าที่ทุกคนคาดหวัง สโมสรที่ไม่ได้แชมป์ลีกมานานมากแล้วแห่งนี้โชคดีที่พวกเขามีแนวรับมาทดแทนไว้ บวกกับเกมที่มีโชคอย่างนัดเสมอเชลซีจากประตูของแดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ในช่วงจะหมดเวลา หรือประตูโชคช่วยของดิว็อก โอริกิในนัดพบเอฟเวอร์ตัน สิ่งที่กลายเป็นปัญหาใหญ่คือการประสานงานของสามประสานแนวรุกดูขาดความลงตัวอย่างมาก การเล่นโดยถูกจับหมุนเวียนตำแหน่งกลายเป็นตัวถ่วงผลงานของพวกเขา อีกทั้งการที่ให้บทบาทผู้เล่นผิดไปจากเดิมทำให้ความลงตัวในการประสานงานกันผิดเพี้ยนไป

                เมื่อลิเวอร์พูลเดินทางจากช่วงต้นฤดูกาลมาถึงกลางฤดูกาลได้ด้วยผลงานที่สุดยอด พวกเขาจึงเชื่อมั่นว่าผู้เล่นที่มีอยู่เป็นขุมกำลังที่เพียงพอสำหรับการลุ้นแชมป์ แต่ทันทีที่ผู้เล่นของลิเวอร์พูลเริ่มบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง และปัญหาติดโทษแบน แนวทางในการเล่นของลิเวอร์พูลก็เปลี่ยนไปทันที ที่สำคัญการเล่นเพื่อประคองผลงานนั้นยากกว่าการเล่นด้วยศักยภาพที่พร้อมเอาชนะ

โอกาสของลิเวอร์พูลในการกลับสู่เส้นทางความได้เปรียบ

ตอนนี้ลิเวอร์พูลสามารถมองในแง่ดีว่าพวกเขายังมีแต้มที่นำหน้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้อยู่ 1 แต้ม ซึ่งในทางทฤษฎี ทุกเกมหลังจากนี้หากต่างฝ่ายต่างเอาชนะได้หมด อย่างไรก็ต้องเป็นลิเวอร์พูลที่เป็นแชมป์ แต่ในความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น ทุกทีมมีโอกาสพลาดได้ด้วยกันทั้งหมด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้เริ่มทำให้เห็นว่าพวกเขาต่างหากที่เป็นทีมที่ลงตัวกล่าในช่วงเวลานี้

ลิเวอร์พูลมีเกมในเหย้าและเยือนเหลืออย่างละ 6 นัดจนกว่าจะจบฤดูกาล ส่วนที่ลิเวอร์พูลโชคดีคือการที่เกมใหญ่อย่างนัดพบเชลซีและสเปอร์ได้เล่นในบ้านทั้งหมด และเหลือเกมไปเยือนทีมที่ฟอร์มฤดูกาลนี้ด้อยกว่าพวกเขา ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้เหลือเกมในบ้านน้อยกว่าเกมออกไปเยือน และมีเกมที่สามารถสะดุดได้ด้วยหนึ่งในนัดคือเกมดาร์บี้แมทช์กับสโมสรเพื่อนร่วมเมืองที่กลับมาคืนฟอร์มเก่ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูจะเป็นแค่เกมยากเกมเดียวที่พวกเขาจะเจอ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลในฤดูกาลที่มีความใกล้เคียงกับการลุ้นแชมป์มากที่สุดอาจจะกำลังพังครืนลง นั่นเพราะความผิดพลาดในการวางหมากที่ง่ายที่สุด นั่นคืออะไรที่ดีอยู่แล้วไม่ควรแก้ และอะไรที่มีแนวโน้มว่าจะแย่ ควรลงมือตัดไฟแต่ต้นลม ซึ่งเจอร์เก้น คล็อปป์ไปมองข้ามเรื่องอาการบาดเจ็บของแนวรับ และความไม่ลงตัวของแนวรุกจนทีมตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมเสียแล้ว