เปิดภารกิจพาบอลไทยไปไกลกว่ารอบแรกของราเยวัช

ช่วงเปลี่ยนแปลงของฟุตบอลทีมชาติไทย หลังการลาออกจากการคุมทีมของโค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ผู้ได้สร้างสไตล์ติ๊กต๊อกอันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ ทำให้มันเป็นการยากที่จะลบภาพจำของแฟนบอลที่ว่า “ทีมชาติไทยต้องเล่นเกมรุก”

ย้อนคุณสมบัติโค้ชทีมชาติคนใหม่

ตอนที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเปิดรับสมัครโค้ชทีมชาติ หนึ่งในเงื่อนไขที่สมาคมฯ ตั้งไว้คือ ต้องมีดีกรีพาทีมชาติใดชาติหนึ่งเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาก่อน และมิโลวาน ราเยวัชที่เดินทางมายื่นเอกสารด้วยตัวเองก็ผ่านข้อนี้ ด้วยว่าเขาเคยพาทีมชาติกาน่าลงเล่นฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้มาแล้ว แถมหลังยื่นใบสมัคร ราเยวัชยังเข้าไปนั่งดูฟุตบอลไทยลีกหลาย ๆ สนามเพื่อทำความเข้าใจกับฟุตบอลแบบไทย ๆ ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าจะได้รับเลือกหรือไม่ด้วยซ้ำ

ตรงนี้ทำให้สมาคมฯ โดยการพิจารณาของโค้ชเฮง วิทยา เลาหกุล ผู้ซึ่งได้รับมอบหน้าที่ตัดสินใจเลือกโค้ชคนใหม่ทีมชาติประทับใจ และเสนอชื่อราเยวัชเป็นโค้ชทีมชาติคนใหม่

สไตล์รับที่ไม่ถูกใจแฟนบอลไทย

ด้วยรูปแบบการเล่นที่ตื่นเต้นเร้าใจซึ่งโค้ชคนเก่าทำไว้ ทำให้แฟนบอลพากันคาดหวังว่าโค้ชคนใหม่จะเข้ามาทำให้ทีมชาติมีการเล่นเกมบุกที่ดุดันและทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปอีก ทว่าทุกอย่างมันกลับตาลปัตร เมื่อมิโลวาน ราเยวัช โค้ชชาวเซอร์เบียเข้ารับหน้าที่ และเริ่มต้นงานของเขาด้วยการซ่อมเกมรับ

มิโลวาน ราเยวัชพาทีมชาติกาน่าเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยสไตล์การเล่นเกมรับอย่างอดทน แล้วรอจังหวะโต้กลับงาม ๆ อย่างรวดเร็ว มันประสบผลสำเร็จสำหรับทีมอย่างกาน่า แต่มันจะใช้ได้ผลกับผู้เล่นไทยจริงหรือ?

สิ่งที่ราเยวัชเลือกทำอย่างแรกคือ การวางแนวทางที่จะทำอย่างไรให้ทีมไทยกลายเป็นทีมเสียประตูยาก และที่เขาพบว่าเป็นปัญหาใหญ่สุด นั่นคือผู้เล่นไทยขาดวินัยในเกมรับอย่างรุนแรง

ให้ยารักษาแล้วก็ต้องดูอาการ

ราเยวัชสไตล์เริ่มถูกเรียนรู้โดยผู้เล่นชาวไทยผ่านการทดลองใช้งานกองหลังคนแล้วคนเล่า ก่อนที่จะมาลงตัวได้เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว จับคู่กับพรรษา เหมวิบูลย์ ตรงกลางสนามผู้เล่นประเภทเปลี่ยนจังหวะจากรับเป็นรุกอย่างรวดเร็วได้นักเตะมันสมองอย่างสรรวัชญ์ เดชมิตร กองหน้าตัวเป้ามีอดิศักดิ์ ไกรสรที่กลับมาฟิตสมบูรณ์ แม้จะขาดผู้เล่นที่อยู่ต่างแดนทั้ง 4 ราย แต่ราเยวัชก็พาทีมชาติไทยยังไม่แพ้ใครในรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018

กระแสของแฟนบอลไทยเริ่มตีกลับมาเห็นดีเห็นงามกับวิธีการเล่นของราเยวัชมากขึ้นเรื่อย ๆ และแม้จะสามารถเล่นเกมรุกใส่ทีมคู่แข่งร่วมอาเซียนได้หมด โค้ชเซอร์เบียยังคงยึดมั่นการเล่นโดยรักษาวินัยเกมรับเอาไว้ แผนที่เขาจะเอาไปใช้จริงในรายการเอเชียน คัพต้นปีหน้า แล้วลองนึกภาพว่าเมื่อผู้เล่นดาวดังทั้ง 4 รายได้กลับมาร่วมทัพ ทีมไทยจะแข็งแกร่งและมีมีติมากขึ้นอีกขนาดไหน

“ผมเชื่อว่าเราจะผ่านเข้ารอบได้”

นั่นคือคำพูดของราเยวัชที่เคยกล่าวไว้หลังรู้ผลการจับสลากรายการเอเชียน คัพที่อยู่ร่วมกับเจ้าภาพยูเออี อินเดียและบาห์เรน

เป็นโชคดีของโค้ชทีมชาติไทยที่ไม่ถูกกดดันด้วยการตัดเกรดในรายการชิงแชมป์ชาติอาเซียน ทำให้เขากล้าที่จะสั่งลูกทีมเล่นฟุตบอลหวังรูปแบบมากกว่าผลงาน เพราะเกณฑ์วัดความสำเร็จที่สมาคมวางไว้ให้คือการผ่านเข้าไปลึกกว่ารอบแบ่งกลุ่ม

โค้ชทีมชาติไทยเคยบอกว่าเขาจะทำการศึกษาคู่แข่งในเอเชียน คัพอย่างระมัดระวัง เพราะทุกทีมต่างมีแรงกิ้งที่สูงกว่าไทยทั้งหมด แต่ทีมชาติไทยก็มีสไตล์การเล่นของตัวเองอยู่เมื่อถึงเวลานั้น และสไตล์ที่ว่าก็ชัดเจนที่สุดในการเล่นเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพครั้งนี้