โจก้า โบนิโต้ ความสนุกที่หายไปจากโลกฟุตบอล

“Joga Bonito” เป็นคำในภาษาโปรตุเกส แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “Beautuful Game” ซึ่งคำนี้ใช้เรียกแทนเอกลักษณ์บางอย่างในกีฬาฟุตบอล ซึ่งหมายถึงการเล่นที่สวยงาม เพลินตาและเร้าใจ ทว่าปัจจุบันไม่มีทีมไหนสามารถสร้างสรรค์การเล่นได้คู่ควรคำนี้เลย

Joga Bonito = Blazil

บราซิลคือประเทศหนึ่งเดียวที่ถูกยอมรับว่ามีการเล่นฟุตบอลในระดับที่คู่ควรกับคำนี้มากที่สุด เรื่องราวของนักเตะแดนกาแฟถูกถ่ายทอดผ่านทั้งคำบอกเล่า ภาพถ่าย วิดีโอและเทปบันทึก

จากรุ่นสู่รุ่นที่นักเตะบราซิลได้ใช้ฟุตบอลแสดงตัวตนของพวกเขา สร้างธรรมชาติในการเล่นอย่างสวยงามและยอดเยี่ยม ยุคทศวรรษ 1950s และ 1960s นักเตะอย่างเปเล่, การ์รินช่า, รีวิลลิโน่และแจร์ซิญโญ่โชว์ลีลาระดับที่ผู้คนกล่าวขานทุกครั้ง

ถัดมาในยุค 1970s และ 1980s เหล่าเจนเนอเรชั่นใหม่ของบราซิลก้าวขึ้นมาพร้อมทักษะอันน่าเหลือเชื่อ การครองบอล ลูกเล่น เทคนิกการสับเท้า ผู้เล่นอย่างโซคราเตส, ซิโก้, ฟัลเกาและจูเนียร์กลายเป็นที่น่าเกรงขามพอ ๆ สำหรับทีมคู่แข่ง

ทศวรรษ 1990s ความยิ่งใหญ่ของวิธีการเล่นฟุตบอลแบบบราซิลยังคงตกทอดมาสู่อีกรุ่น ภายใต้การนำทัพของนักเตะอย่างคาร์ลอส ดุงก้า กัปตันทีม พร้อมด้วยนักเตะอย่างโรมาริโอ, เบเบโต้และคาฟู

ขึ้นต้นศตวรรษใหม่ นักเตะบราซิลยิ่งสร้างปรากฏการณ์แห่งความตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อการมาถึงพร้อมกันของ 3R โรนัลโด้, โรนันดิญโญ่และริวัลโด้ พวกเขาคือใจกลางพายุของความคลั่งใคล้ฟุตบอลของคนทั้งโลก

บราซิลสิ้นมนต์ขลังบนแผ่นดินบ้านเกิด

ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ มันเป็นเกมรอบรองชนะเลิศที่มิเนย์เรา สเตเดี่ยมในเมืองเบโลโอริซอนเต้ สนามที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ เป็นรองแค่มาราคาน่าเท่านั้น

แฟนบอลเต็มความจุ 70,000 ที่นั่งเข้ามารอเป็นสักขีพยานเพื่อรอดูบราซิลซึ่งอุดมไปด้วยดารานักเตะ เนย์มาร์นำทัพ พร้อมเพื่อนนักเตะในทีมอย่างฟิลลิปเป้ คูติญโญ่, มาร์เซโล่, แฟร์นันดิญโญ่ หรือกาเบรียล เฆซุส ลงสนามพบกับเยอรมัน

ไม่มีใครคาดคิดว่าบราซิลจะพบความปราชัยย่อยยับ 7-1 บนแผ่นดินบ้านเกิด เกมการแข่งขันซึ่งบราซิลไม่สามารถใช้พรสวรรค์ที่พระเจ้าของโลกลูกหนังทำราวกับได้มอบเป็นเอกสิทธิ์แก่พวกเขาเข้าต่อกรกับคู่แข่งที่มีระบบการเล่นสุดแกร่งได้

เท่านั้นไม่พอ ในเกมนัดชิงอันดับสาม บราซิลยังโดนเนเธอแลนด์ถล่มย่อยยับไปอีก 3-0 ทำให้ท้องฟ้าอันสดใสของดินแดนแซมบ้า ประเทศที่ได้ชื่อว่าเล่นฟุตบอลได้เพลิดเพลินตาเพลินใจที่สุดมืดมนทันที

The Lastest Joga Bonito

หลังจากหมดยุคของ 3R ฟุตบอลในระดับที่สามารถพูดได้ว่าเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินใจได้หายไป ไม่มีทีมฟุตบอลของชาติไหนที่สามารถสร้างการเล่นที่เทียบได้กับคำว่าโจก้า โบนิโต้อีกเลย อย่างที่ดูเพลินที่สุดและเข้าใกล้คำนี้มากที่สุดก็คือ โปรตุเกส

ในช่วงปี 2003-2008 หลุย ฟิลิปเป้ สโคลารี่เป็นผูจัดการทีมชาติบราซิลชุดที่คว้าแชมป์โลก ปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ในเวลานั้นโปรตุเกสได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 หรือยูโร 2004 สโคลารี่คุมทัพที่มีนักเตะชั้นเลิศอย่างหลุย ฟิโก้, รุย คอสต้าและเดโก้

ตลอดเส้นทางสู่นัดชิงชนะเลิศ โปรตุเกสเล่นฟุตบอลได้อย่างน่าเพลิดเพลินตา แฟนบอลมีความสุขกับวิธีการเล่นของพวกเขา ทว่าในนัดชิงชนะเลิศที่พบกับกรีซ พวกเขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะล้างแค้นความพ่ายแพ้นัดเปิดสนามให้ได้ แต่กลับจบด้วยความผิดหวัง

หนึ่งในผู้เล่นที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาอยู่ในทีมชาติโปรตุเกสชุดนั้นชื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวัย 19 ปี โรนัลโด้ยังไม่ถูกกล่าวขานถึงทักษะและฝีเท้า ซึ่งโรนัลโด้ค่อย ๆ กลายเป็นผู้เล่นที่ผู้คนอยากเห็นการเล่นกับตามากขึ้น ๆ ในแต่ละปีที่ผ่านไป เขาคือดาวเตะที่เข้าใกล้คำว่าสุดยอดผู้เล่นที่สุดรายหนึ่ง หากมองว่านักเตะชาติไหนเข้าใกล้คำว่า Joga Bonito บ้างก็ต้องเป็นโรนัลโด้กับพลพรรคโปรตุเกสนี่ล่ะคือทีมสุดท้าย

เมื่อแท็คติกอยู่เหนือความบันเทิง

ฟุตบอลกลายเป็นอุตสาหกรรม และผลการแข่งขันกลายเป็นธุรกิจ มันได้บังคับรูปแบบการเล่นฟุตบอลให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

ตลอดช่วงสิบปีให้หลัง ทีมที่ประสบความสำเร็จของฟุตบอลในระดับนานาชาติได้ ไม่ได้มาจากการมีผู้เล่นพรสวรรค์สูงอีกต่อไป หากแต่ต้องประกอบด้วยเทคนิคและแท็คติกการเล่นที่เหนือชั้นกว่าคู่แข่ง

ฟุตบอลกลายเป็นเรื่องของกลยุทธ์ ใครมีกลยุทธ์ที่ดีกว่า ใครใช้นักเตะที่มีได้ประสิทธิภาพกว่า และใครสามารถดันจุดแข็งของตัวเองพร้อมลดจุดแข็งของคู่แข่งได้มากกว่าคือผู้ชนะ ความเป็นโจก้า โบนิโต้อาจจะมีเหลืออยู่ในผู้เล่นบางรายหรือบางทีม แต่มันจะไม่ได้รับการจดจำเลยหากสวยงามแต่ไร้ซึ่งความสำเร็จ